Wednesday, April 2, 2014

จะแต่งงานกะชาวต่างชาติ ยุ่งแท้หนอ (เอกสารขั้นสาม)

เอาละ ได้เอกสารมาแล้ว จะได้แต่งงานแล้วววววววว เย้

เราก็ต้องไปที่สำนักงานเขต (สำหรับคนที่อยู่กรุงเทพ) หรือ อำเภอ (สำหรับคนตจว) เพื่อไปจดทะเบียนสมรส ถ้าแต่งกับคนไทย ไปที่ไหนก็ได้ค่ะ แต่ถ้าแต่งกับชาวต่างชาติ ข้อมูลจากหลายเว็บจะบอกว่าควรโทรไปสอบถามก่อน เพราะบางแห่งเค้าไม่ค่อยมีประสบการณ์ตรงกับการดูแล คนไทยที่แต่งกับต่างชาติ ก็อาจขลุกขลักเล็กน้อย

เราได้ข้อมูลมาว่า บางรักเชี่ยวมาก เรื่องจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ เพราะงั๊นไปได้เลย แต่ไปเช้าหน่อย เพราะเห็นว่าวันนึงรับจำนวนจำกัด บางรักเค้าดังมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วเรื่องจดทะเบียนสมรส สนใจดู Facebook ของสำนักงานเขตบางรักที่ link นี้ค่ะ  https://www.facebook.com/register.bangrak

ทีนี้บ้านเราอยู่ไกลจากบางรัก ประมาณคนละมุมของจังหวัด เราก็เลยพยายามหาข้อมูลที่อื่น 

สำนักงานเขตดอนเมือง เราโทรไปหาเจ้าหน้าที่ แล้วได้คำตอบว่า เราและว่าที่สามี ต้องพาพยานไป สองคน ล่ามหนึ่งคน รวมห้าคนที่ต้องไปพร้อมกัน เราเป็นล่ามให้ตัวเองไม่ได้ เพราะเดี๋ยวแปลเข้าข้างตัวเอง ควรโทรนัดก่อนล่วงหน้า เผื่อนายอำเภอติดภารกิจ

สำนักงานเขตหลักสี่ ไปสองคนก็ได้ หรือพาไปได้เท่าที่จะหาได้ อย่างอื่นเดี๋ยวไปหาเพิ่มเติมเอาแถวนั้น คิดว่าหลักสี่ คงมีต่างชาติไปจดบ่อยน่ะค่ะ เพราะใกล้กรมการกงสุล คงมีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีคงจะพอเป็นล่ามให้ได้ แต่ถ้าเป็นภาษาอื่น เราคงต้องหาล่ามไปเอง

เอาล่ะค่ะ ขอเล่าวันที่ไปจดทะเบียนสมรส เราเลือกที่หลักสี่ เพราะใกล้บ้าน และดูจะรู้ว่าแต่งงานกับชาวต่างชาติต้องทำยังไง แล้วพอเราไปถึงจริงๆ เค้าก็เชี่ยวชาญจริงๆน่านแหละ ถ้าใครไม่ได้สนใจเรื่องว่าสำนักงานเขตต้องชื่อเป็นมงคลแนวบางรัก ก็มาที่หลักสี่ได้ค่ะ เจ้าหน้าที่ก็เป็นมิตรมากค่ะ คนก็ไม่เยอะ ไม่ต้องรอคิวนาน

ตอนที่ไปถึงก็สิบโมงครึ่ง คนไม่เยอะเลยค่ะ ไปติดต่อที่ประชาสัมพันธ์ว่าจะมาจดทะเบียนสมรส เจ้าหน้าที่ก็ขอดูเอกสาร Affirmation of freedom to marry พร้อมคำแปล แล้วก็ให้เอกสารเรามาสี่แผ่น บอกให้กรอก แล้วเอากลับมายื่นใหม่  (เจ้าหน้าที่น่ารักมากค่ะ เป็นมิตร และยิ้มแย้มมาก)

แผ่นแรกเป็นกระดาษ A4 ปกติ เป็นคำร้องขอจดทะเบียนสมรส เราก็กรอกชื่อเราเป็นผู้ยื่นคำร้อง และจะจดทะเบียนสมรสกับใคร เลขบัตรประชาชนอะไร กรณีของเรา ก็กรอกเลขpassport ลงไป แล้วก็เซ็นซื่อสองคน แค่นี้เองค่ะ ไม่ได้เยอะอะไร

แผ่นที่สองเป็นกระดาษB4 ยาวกว่าหน่อย ใบนี้จะเป็นใบที่แฟนเราต้องกรอก แต่เค้ากรอกเองน่าจะลำบากค่ะ มันต้องเป็นภาษาไทย เราก็ต้องกรอกให้ ใบนี้จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับแฟนเรา ชื่ออะไร เกิดวันไหน พ่อ แม่ชื่ออะไร ทำงานอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ข้อมูลก็คือเหมือนใน Affirmation of freedom to marry นั่นแหละค่ะ ซ้ำซ้อนเล็กน้อย แต่ก็จะมีเพิ่มเติมก็คือ อยู่เมืองไทยมานานกี่ปี เข้าออกเมืองไทยมาแล้วกี่รอบ รู้จักกับเรามานานเท่าไหร่ เจอกันครั้งแรกที่ไหน เคยอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยามั๊ย มีลูกมั๊ย ประมาณนี้ค่ะ ขอแนะนำว่าตอนกรอกให้เล่าให้แฟนฟังด้วยว่ากรอกอะไรไปมั่ง เพราะตอนไปเจอเจ้าหน้าที่ เค้าจะถามข้อมูลในนี้ค่ะ ตอนเรากรอก เราลืมเล่า เราก็กรอกไปตามใจฉันเลย แต่พอดีเป็นความจริงทั้งหมด ต่อให้ไม่ได้เล่าให้ฟังก็ตอบได้ตรงกันค่ะ (จำไม่ได้ล่ะ มีเคือง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเรา อิอิอิ)

แผ่นที่สาม จะเป็นแผ่นเล็กๆ ประมาณ 1/4 ของ A4 จะเป็นคำถามให้เราเลือก เช่น จะใช้นาง หรือ นางสาว แต่งงานแล้วจะใช้นามสกุลใคร เคยอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยามั๊ย มีลูกมั๊ย จะแสดงทรัพย์สินก่อนแต่งงานมั๊ย ประมาณนี้ค่ะ เราก็ตอบไป

คำแนะนำ 1 เรื่องเปลี่ยนนามสกุล เพื่อนก็แต่งงานกับชาวต่างชาติค่ะ และเดินทางบ่อย เพื่อนแนะนำให้ใช้นาง และ นามสกุลสามีไปเลย คือถ้าเราจะต้องไปอังกฤษบ่อยๆแน่นอน มันจะง่ายมากตอนขอวีซ่าค่ะ อีกอย่างถ้าเราจะต้องมีส่วนในการรับประโยชน์ จาก ประกัน บำนาญ  เป็นนางและนามสกุลเค้า มันก็ง่ายกับชีวิตกว่าค่ะ  สมมติ นะคะสมมติ เกิดไปด้วยกันไม่รอด กฏหมายบ้านเราก็เปิดกว้างให้กลับมาใช้นามสกุลเดิม และนางสาวอยู่แล้ว (สาธู้ คุณพระคุณเจ้า เจ้าขา ของหนูขอแบบรอดๆไปตลอดตลอดนะค้า)

คำแนะนำ 2 เรื่องแสดงทรัพย์สิน ก็ตามสะดวกนะคะ แต่ถ้าเราไม่ได้ขนาดมีกิจการเป็นของตัวเอง มีเงินเป็นหลายล้าน มีบ้านสิบๆหลัง ที่ดินหลายร้อยไร่ กลัวเค้าฮุบ ก็ไม่ต้องก็ได้มั๊งคะ ทำสัญญาใจกันเองสองคนก็น่าจะเพียงพอ เพราะการต้องแสดงทรัพย์สิน ตอนจดทะเบียนเนี่ยรู้สึกต้องมีทนาย หรือเป็นเอกสารทางกฏหมายมายืนยันด้วยน่ะค่ะ แต่อันนี้ไม่ชัวร์นะคะ จุดนี้ไม่ได้ศึกษา เนื่องจากเป็นคนตัวเปล่าเลย ทรัพย์สินไม่มีอะไรซักอย่าง เลยไม่มีอะไรให้ต้องแสดงค่ะ

แผ่นที่สี่ก็จะเป็นใบเล็กๆ บอกเราว่าต้องแนบเอกสาร อะไรบ้าง 
เอกสารที่ต้องแนบ
สำเนาบัตรประชาชนของเรา  สองชุด
สำเนาทะเบียนบ้านของเรา หนึ่งชุด
สำเนาpassport ของแฟนเรา หน้าแรก และหน้าที่เป็นวีซ่าล่าสุด หนึ่งชุด
สำเนา Affirmation of freedom to marry พร้อมคำแปล สองชุด
สำเนาบัตรประชาชนของพยาน และล่าม คนละหนึ่งชุด
(เรามี คุณแม่ไปด้วย แล้วก็เพื่อนไปด้วยอีกหนึ่งคน คุณแม่ก็เป็นพยาน แล้วก็เพื่อนเป็นได้ทั้งล่ามและพยานค่ะ ที่เขตหลักสี่ ยอม แต่เขตดอนเมืองไม่ยอม แม่เนี่ยแหละค่ะ พยานที่เจ๋งที่สุด ช้านยอม เอาลูกสาวช้านไปเล้ย ฮ่าฮ่า)

Note 1:เจ้าหน้าที่จะขอใบเสร็จรับเงินค่ารับรองเอกสารจากกรมการกงสุลด้วย (ซึ่งไม่มีแจ้งไว้ในเอกสารไหนเลยซักที่ ว่าจะต้องเอาด้วย) และจะเก็บไปเลย ไม่คืนเรา เพราะฉะนั้น เตรียมไปด้วย ถ้าอยากเก็บหลักฐาน ให้ถ่ายเอกสารเก็บไว้นะคะ


กรอกเอกสารทั้งหมด แนบเอกสารทั้งหมด ก็เดินกลับไปที่เดิม เจ้าหน้าที่ก็จะให้บัตรคิวมาค่ะ
เดินไปนั่งรอ แป๊บเดียวมากๆ เพราะเราเป็นคิวต่อไปเลย เจ้าหน้าที่ก็จะให้แฟนเรา นั่งกับล่าม ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ให้เรามานั่งรอที่เก้าอี้ด้านหลัง แล้วเค้าก็จะถาม ถาม ถาม และถาม (ถามเยอะมากๆ) คำถามก็คือรายละเอียดในเอกสารขนาด B4 ที่กรอกไปน่านแหละค่ะ

ถามกันจนเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะเรียกเราไป ถามเกี่ยวกับ จะใช้นาง หรือ นางสาว แต่งงานแล้วจะใช้นามสกุลใคร เคยอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยามั๊ย มีลูกมั๊ย จะแสดงทรัพย์สินก่อนแต่งงานมั๊ย ประมาณนี้ค่ะ เราก็ตอบไป จากนั้นเซ็นเอกสาร สอง สามอัน ก็เป็นอันเรียบร้อย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะขอเวลา บันทึกข้อมูล เราก็เลยไปทานข้าว กลับมา เจ้าหน้าที่ ก็เตรียมเอกสาร ใบทะเบียนสมรส ที่เป็นรายละเอียดในการสมรส เพื่อให้เราไปใช้ในการเปลี่ยนนามสกุล และใบสำคัญการสมรสสองแผ่น ที่มีขอบสวยๆ หน้าตาเหมือนกันสองแผ่น เจ้าหน้าที่ก็จะให้เอาเอาทะเบียนสมรสไปถ่ายเอกสารสามชุด แล้วเอากลับมาคืน เจ้าหน้าที่ก็จะประทับตราว่าเป็นเอกสารที่สำเนาถูกต้องจากของจริง ให้เรามาหมดเลยสามใบ ตอนเห็นชื่อตัวเองในทะเบียนสมรส รู้สึกแปลกๆ งงๆ เราไม่โสดแล้วใช่ม๊ายเนี่ย

เอกสารที่ได้คืนมาก็จะเป็น สำเนาของ Affirmation of freedom to marry พร้อมคำแปล ที่มีแสตมป์ของอำเภอว่าถ่ายจากต้นฉบับจริง เจ้าหน้าที่บอกว่า บางที ตม จะเรียกตรวจ เก็บไว้ดีๆ

แล้วก็จะมี ทะเบียนสมรส อันนี้ เราจะได้มาสามใบค่ะ จะเป็นกระดาษ A4 ที่บันทึกข้อมูล ว่าใคร แต่งกับใคร เลขบัตรประชาชนอะไร แต่งงานแล้วใช้คำนำหน้าอะไร นามสกุลอะไร ประมาณนี้ค่ะ อันนี้สำคัญเก็บดีๆ ถ้าใครจะเปลี่ยนนามสกุล เพราะที่เขต เค้าจะใช้ค่ะ 

แล้วก็จะมี ใบสำคัญการสมรส ให้สองใบ หน้าตาเหมือนกัน เจ้าหน้าที่เน้นย้ำนักหนาว่า ห้ามเอาไปเคลือบ เพราะออกให้ได้หนเดียว และสถานทูตก็ไม่รับเอกสารที่เคลือบพลาสติก


        อันนี้คือทะเบียนสมรส                                                อันนี้คือใบสำคัญการสมรส

ค่าจดทะเบียนสมรส 30 บาทเท่านั้น แต่ที่หลักสี่เค้ามีปกใส่ใบสำคัญการสมรสขาย เล่มละ 800 บาท ก็คิดว่าราคาสูงพอควร แต่ก็ซื้อมาเพราะแม่บอกว่า อะไร ที่มันทำได้ครั้งเดียว ซื้อได้วันนี้วันเดียว ก็ซื้อไปเถอะ กลับมาวันหน้า มันก็ไม่ใช่แล้ว แล้วก็ซื้อซองพลาสติกขนาดพอดีกับใบสำคัญการสมรสมาอีกหนึ่งอัน 20 บาท เพราะเพื่อนบอกว่า เวลาเอาเอกสารไปยื่นขอวีซ่า กลับมาเยินเลยทุกที ซองพลาสติกจำเป็น  สรุปค่าเสียหาย วันนี้ 850 บาทค่ะ

เสร็จสิ้นภารกิจ การจะเป็นสะใภ้UK ตามกฎหมายด้วยเงินเกือบเจ็ดพันบาท เวลาที่เสียไปเกือบสามวัน ในที่สุด มีสามีแล้วจ้าาาาาาาาา

หมายเหตุ เหตุผลที่แจกแจงเรื่องเงินให้ฟัง เพราะมีหลายคนอยากจ้าง agent ค่ะ ให้เค้าจัดการให้ทั้งหมด มันก็ดีนะคะ ง่ายดี แต่อยากให้ได้ทราบว่าถ้าทำเอง มันจะเป็นเงินเท่าไหร่ ถ้าagent จะคิดเงินเรา จะได้พอกะได้ว่ามันสมเหตุสมผลมั๊ย เพื่อนเคยไปถามแถวเพลินจิต เค้าคิดประมาณหมื่นสอง ส่วนตัวคิดว่า ไม่แพง ถ้าเค้าจัดการให้ทั้งหมด บวกค่าธรรมเนียมทั้งหมด (ทำเองก็ประมาณเจ็ดพัน) รวมถึงค่ารถที่พาเราไปทุกที่ด้วย ถามด้วยนะคะ ว่าพาไปจัดการเรื่องเปลี่ยนนามสกุลด้วยหรือเปล่า ถ้ารวมด้วยก็ไม่แพงแน่นอนค่ะ แต่ถ้าเกินหมื่นสอง คิดว่าแพงเกินไปค่ะ

2 comments:

  1. ได้ประโยชน์มากๆ เลยค่ะ
    ขอบพระคุณมากนะคะ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณ มากค่ะจะจดทะเบียนเหมือนกันค่ะ

    ReplyDelete